Main Page  


[ 1-10 ]   [ 11-20 ]   [ 21-30 ]   [ 31-40 ]   [ 41-50 ]  [ 51-60 ]


  1. Menopause (เมโนพอส) คืออะไร     2. จะเข้าสู่ Menopause เมื่อไร
 
      Menopause คือ การหมดของระดูอย่างถาวรของสตรี เนื่องจากรังไข่หยุดผลิตฮอร์โมนเพศ โดยนับจากการไม่มีระดูติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่งปีเต็ม ทำให้สตรีเข้าสู่วัยที่ไม่สามารถมีบุตรได้อีกต่อไป
   
      อายุเฉลี่ยของวัย Menopause สำหรับสตรีไทย คือ 49 ปี บางคนอาจเข้าสู่วัยนี้ตั้งแต่อายุ 40 กว่า บางคนอาจมีอาการช้า คือ เริ่มเมื่อ อายุประมาณ 55 ปี
         
  3. ช่วง Menopause นอกจากระดูไม่ปกติแล้ว อาจมีอาการอื่น ๆ ของ Menopause อีก หรือไม่     4. ทำไมจึงเรียกสตรีวัยนี้ว่า "สตรีวัยทอง"
 
      อาการทั่วไปที่พบ ได้แก่ ร้อนวูบวาบเหงื่อออกมาก ใจสั่น นอนไม่หลับ หงุดหงิด ปวดเมื่อย อ่อนล้า หลงลืม
      อาการอื่นได้แก่ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ช่องคลอดแห้งและ เจ็บแสบเวลามีเพศสัมพันธ์ ผิวพรรณเหี่ยวย่น ผมร่วง เล็บเปราะ
   
      เนื่องจาก สตรีวัย 40 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่จะมีหน้าที่การงานมั่นคง มีความรู้ ความสามารถผ่านประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของครอบครัว การงานหรือ สังคม จึงถือเป็นวัยแห่งความสำเร็จ ของชีวิต
         
  5. ถ้าสตรีอายุ 48 หมดระดูไม่เกิน 1 ปี แล้ว แต่ไม่มีอาการใดเลย แสดงว่าเข้าสู่ Menopause หรือไม่     6. เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเข้าสู่ Menopause ตั้งแต่อายุ 30 กว่า
 

      ตามหลักแล้ว Menopause จะเริ่มนับจากการไม่มีระดูติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่งปี ในสตรีบางรายอาจไม่มีอาการใดเลย ซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคตเนื่องจากการขาดฮอร์โมนเพศ ได้แก่ โรคกระดูกพรุน และ ระดับไขมันในกระแสเลือดสูง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำมาสู่กระดูกหัก และโรคหัวใจขาดเลือด ดังนั้น จึงแนะนำให้ปรึกษาสูตินรีแพทย์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

   

      แม้ว่าอายุ 30 เศษ ๆ จะยังเร็วไปสำหรับการหมดระดู แต่พบว่าสตรี 8 ใน 100 คน มีโอกาศหมดระดูเร็วกว่าสตรีทั่วไป อย่างไรก็ดีการเข้าสู่ Menopause เร็วกว่าปกติ ส่วนใหญ่ มักเกิดในสตรีอายุ 30 ตอนปลาย หรือ 40 ตอนต้น

      อีกสาเหตุของการเข้าสู่ Menopause เร็วกว่าสตรีทั่วไปคือการผ่าตัดเอารังไข่ออกทั้งสองข้าง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนเพศได้อีกต่อไป สตรีกลุ่มนี้ หากไม่ได้รับฮอร์โมนเพศทดแทนจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน เนื่องจากร่างกายขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้มีการสลายตัวของเนื้อกระดูกมากกว่าปกติ

         
  7. ควรปฏิบัติตนอย่างไรตั้งแต่วัยสาวเพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดอาการต่าง ๆ ในช่วงวัย Menopause     8. สตรีเข้าสู่ Menopause ช้ากว่าสตรีปกติ จะมีอายุยืนกว่าคนอื่นหรือไม่
 

      ปัจจุบันสามารถรักษาอาการ Menopause ได้ด้วยฮอร์โมนทดแทนแต่สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตหลังหมดระดู คือโรคกระดูกพรุน และ โรคหัวใจขาดเลือด อย่างไรก็ดีร่างกายคนเรามีการสร้างสมเนื้อกระดูก จนมีปริมาณสูงสุด ที่อายุ 35ปี ดังนั้นหากออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรับประทานแคลเซี่ยมอย่างเพียงพอ ร่างกายสามารถสร้างสมเนื้อกระดูกไว้มากเมื่อเข้าสู่วัย Menopause จะมีโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุนน้อยลง


      นอกจากนี้พบว่าเมื่อเข้าสู่วัย Menopause ระดับไขมันในกระแสเลือดจะเพิ่มขึ้นสูง การรับประทานอาหารไขมันต่ำ อาหารที่มีกาก มีผลช่วยควบคุมระดับไขมันในกระแสเลือดและป้องกัน ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้
   

      สตรีที่หมดระดูช้าแสดงว่าร่างกายยังผลิตฮอร์โมนเพศเองได้ ทำให้ดูแก่ช้า เมื่อดูลักษณะภายนอก ผิวพรรณไม่เหี่ยวย่น เดินหลังตรง คล่องแคล่ว นอกจากนี้ระบบกระดูก และหัวใจยังได้รับการปกป้องจากฮอร์โมนเอสโตรเจน ที่ร่างกายผลิตเอง

         
  9. อาการร้อนวูบวาบ เป็นอย่างไร     10. เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน คืออะไร มาจากไหน
 

      เมื่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ในร่างกายลดลงกระทันหัน ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในร่างกายจะทำงานผิดไป ทำให้หลอดเลือดตามผิวหนังขยายตัว เกิดอาการร้อนวูบวาบพร้อมทั้งมีเหงื่อออกมาก บริเวณหน้าอก หลังและคอ บางคนเป็นเพียงวันละ 2 - 3 ครั้ง แต่บางคนเป็นถี่ถึง 50 ครั้งต่อวัน

   

      ทั้งสองชนิดเป็นฮอร์โมนเพศที่ร่างกายเคยสร้างเองได้ก่อนจะเข้าสู่วัยหมดระดู

      ฮอร์โมนเอสโตรเจน ออกฤทธิ์ ทำให้ระบบประสาทอัตโนมัติของสตรี ทำงานปกติ ความจำดี ผิวพรรณดี ระบบปัสสาวะปกติ ช่องคลอดชุ่มชื้น หัวใจดี กระดูกแข็งแรง อีกทั้งยังป้องกันโรคกระดูกพรุนและโรคหัวใจขาดเลือด แต่ในขณะเดียวกัน ฮอร์โมนเอสโตรเจนก็เป็นตัวกระตุ้นให้เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว

      ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน หรือโปรเจสโตเจน คือ ตัวเดียวกัน เป็นตัวทำให้การตั้งครรภ์ดำเนินไปด้วยดี แต่ในช่วงที่ไม่มีการตั้งครรภ์ โปรเจสเตอโรนจะปรับเยื่อบุโพรงมดลูกที่หนาตัวขึ้น เนื่องจากเอสโตรเจน ให้หลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน

       
  11. อาการหน้ามันหรือมีขนขึ้นตามใบหน้า เป็นอาการ Menopause หรือไม่     12. การที่ผมและขนตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายหลุดร่วงไปเป็นอาการปกติของ Menopause หรือไม่
 

      เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจน ในร่างกายสตรีหมดไป ฮอร์โมนเพศตัวอื่นในร่างกายสตรีจะเด่นขึ้น ในสตรีบางคนฮอร์โมนตัวนั้นจะเด่นมาก และออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศชาย ทำให้เกิดหน้ามัน หรือ มีหนวดบาง ๆ ขึ้นตามใบหน้า

   

      ตามปกติรากผมหรือขนจะฝังตัวในชั้นหนังแท้ ซึ่งมีคอลลาเจน (ตัวเพื่อความหนาและความยืดหยุ่นแก่ผิวหนัง) ประกอบอยู่เมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ปริมาณคอลลาเจนจะลดลงตามไปด้วย ทำให้ผิวหนังแห้งบางและเหี่ยวย่น ขณะเดียวกันรากผมและขนที่เคยฝังตัวอยู่จะหลุดร่วงออกมาได้ง่าย

         
  13. อาการใดบ้างที่เกิดกับระบบทางเดินปัสสาวะ เนื่องจาก Menopause     14. ทำไมจึงมีอาการแห้งและคันช่องคลอดเมื่อเข้าสู่ Menopause
 

      เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง พบว่าจะมีการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะบ่อย สาเหตุเพราะท่อปัสสาวะบางลงมีความยืดหยุ่นน้อย เชื้อโรคจึงเข้าไปได้ง่าย นอกจากนี้ความยืดหยุ่นที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้สตรีหลายคนมีปัสสาวะเล็ดเวลาไอ หรือจาม

   

      เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยหมดระดูฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้ความชุ่มชื้นและสารหล่อลื่นในช่องคลอดค่อย ๆ หมดไป นอกจากคุณสมบัติหล่อลื่นแล้ว สารนี้ยังป้องกันการเจริญของเชื้อโรคในช่องคลอดได้ด้วย เมื่อสิ่งเหล่านี้หมดไป จึงมีอาการช่องคลอดแห้งคันเพราะติดเชื้อง่าย และเจ็บแสบเวลามีเพศสัมพันธ์

         
  15. ทำไมจึงเกิดความรู้สึกมึนงง หดหู่ เมื่ออยู่ในวัย Menopause     16. หากไม่มีอาการร้อนวูบวาบ แต่มีอาการนอนไม่หลับ สาเหตุจะเกิดจาก Menopause ได้หรือไม่
 

      สาเหตุสำคัญเป็นเพราะอาการร้อนวูบวาบ ในตอนกลางคืน ทำให้มีเหงื่อออกมากจนนอนไม่หลับ การนอนพักผ่อนน้อย ทำให้รู้สึกเพลียในตอนกลางวัน และเกิดอาการมึนงง หดหู่ซึ่งอาจมีสาเหตุจากการขาดฮอร์โมน การใช้ฮอร์โมนทดแทนจะช่วยรักษาอาการได้ดี

   

      เป็นไปได้ เพราะสตรีราวร้อยละ 25 ที่ไม่มีอาการร้อนวูบวาบ แต่มีอาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นในช่วงที่พบว่าตนเองมีระดูไม่ปกติ

         
  17. อาการใจสั่นเป็นอาการ Menopause หรือไม่และควรทำอย่างไร     18. อาการอ่อนล้าเป็นอาการ Menopause หรือไม่
 

      ใจสั่นเป็นอีกอาการหนึ่งของ Menopause แต่อาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ เช่น เป็นอาการเตือน ของโรคหัวใจ, โรคต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ หรือเกิดจากการดื่มกาแฟมากเกินไป

   
      สำหรับสตรีวัยหมดระดู มักจะพบปัญหานอนไม่ค่อยหลับ ทำให้มีอาการอ่อนล้า หรือคนที่เครียดก็จะเกิดอาการอ่อนล้าเช่นกัน
         
  19. ความเครียดก่อให้เกิดอาการ Menopause มากขึ้นหรือไม่     20. Menopause มีผลอย่างไรต่อความจำ
 
      เมื่อฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง จะมีอาการเครียด หงุดหงิด ขวางหูขวางตาสตรีบางคนยิ่งเครียดยิ่งนอนไม่หลับ ทำให้อาการเครียดเพิ่มมากขึ้นไปอีก
   

      พบว่าสตรีวัยนี้มีความจำระยะสั้นแย่ลง หลงลืมง่าย ปัญหาที่พบบ่อยคือลืมว่าวางข้าวของไว้ที่ไหน หรือลืมว่ากำลังตั้งใจจะทำอะไร

       
  21. เมื่อไรอาการ Menopause จึงจะหมดไป     22. Menopause เนื่องจากการผ่าตัด ต่างจาก Menopause โดยธรรมชาติอย่างไร
 

      อาการทั่วไปของ Menopause มักเกิดเพียง 2 - 3 ปี แรกแล้วหมดไป ในช่วง 2 - 3 ปีที่มีอาการนี้ ฮอร์โมนทดแทนสามารถรักษาได้ อย่างไรก็ตามขอแนะนำให้ใช้ฮอร์โมนทดแทนต่อไป เพราะนอกจากจะรักษาอาการ Menopause ทั่วไปแล้ว ยังลดอาการผิวพรรณเหี่ยวย่น ผมร่วง เล็บเปราะ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ และช่องคลอดแห้ง อีกทั้งยังมีผลดีในระยะยาว คือ สามารถป้องกันโรคกระดูกพรุน และโรคหัวใจขาดเลือด ในสตรีวัยหมดระดูได้ด้วย

   

      เมื่อรังไข่ทั้งสองข้างถูกตัดออกไป ร่างกายสตรีจะหยุดสร้างฮอร์โมนเพศทันที เราถือว่าเข้าสู่วัย Menopause หรือหมดประจำเดือนโดยการผ่าตัด แต่ในสตรีที่ยังมีรังไข่ รังไข่จะค่อย ๆ ลดการทำงานลงและหยุดสร้างฮอร์โมนเพศ เมื่ออายุประมาณ 49 ปี จะถือว่าเข้าสู่วัย Menopause โดยธรรมชาติ

         
  23. สตรีที่ผ่าตัดมดลูกออกต่างจากการผ่าตัดรังไข่ ออกอย่างไร     24. หลังการผ่าตัดมดลูกออก แต่ยังมีรังไข่อยู่ จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงวัย Menopause แล้ว
 

      สตรีที่มีเนื้องอกในมดลูก มีเลือดออกจากช่องคลอดผิดปกติรุนแรง และสตรีที่เป็นมะเร็งมดลูก และได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดมดลูกออก สตรีกลุ่มนี้ไม่สามารถมีบุตรและไม่มีระดูอีกต่อไป แต่ร่างกายยังไม่ขาดฮอร์โมนเพศ เนื่องจากยังมีรังไข่ซึ่งเป็นตัวผลิตฮอร์โมนเพศอยู่

      สำหรับสตรีที่มีความผิดปกติที่รังไข่ และถูกตัดรังไข่ออกไปจำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนทดแทนทันทีหลังการผ่าตัด เนื่องจากขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเฉียบพลัน ซึ่งมักมีอาการ Menopause เกิดขึ้นอย่างมากทันที

   
      เมื่อไม่มีมดลูก สตรีจะไม่มีระดูจึงไม่มีอาการระดูผิดปกติที่จะคอยเตือนให้ทราบ แต่จะสามารถสังเกตเห็นอาการผิดปกติทั่วไปอื่น ๆ ที่แสดงว่าเข้าสู่วัย Menopause แล้ว เช่น อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกมาก นอนไม่หลับ ปวดเมื่อย อ่อนล้า หงุดหงิด หลงลืม ผิวพรรณแห้งย่น ผมร่วง เล็บเปราะ กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ช่องคลอดแห้งแสบเวลาที่มีเพศสัมพันธ์
         
  25. การเลือกใช้ฮอร์โมนทดแทนในสตรีที่ยังเข้าสู่ Menopause ตามธรรมชาติ และ เนื่องจากการผ่าตัดแตกต่างกันหรือไม่     26. หากผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกแล้ว แพทย์ให้รับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำไมยังคงมี อาการร้อนวูบวาบและนอนไม่หลับ
 
      ถึงแม้จะเข้าสู่วัย Menopause เหมือนกัน แต่แพทย์มีหลักการง่าย ๆ ในการให้ฮอร์โมนแก่คนไข้ดังนี้

สตรีที่ตัดมดลูกแล้ว การได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว

สำหรับสตรีที่ยังมีมดลูก จะต้องเพิ่มฮอร์โมนโปรเจสโตเจน เพื่อบังคับให้เยื่อบุโพรงมดลูก ที่อาจหนาตัวจากฮอร์โมนเอสโตรเจน หลุดลอกออกมาเป็นเลือดคล้ายประจำเดือน

   

      ในครั้งแรกฮอร์โมนทดแทนที่ได้รับอาจมีปริมาณไม่เหมาะ กับ ความต้องการของร่างกายจึงควรปรึกษาแพทย์ เพื่อปรับเปลี่ยน ขนาดของฮอร์โมนทดแทน

         
  27. การรับประทานยาคุมกำเนิดต่างจากฮอร์โมนทดแทน อย่างไร     28. ทำไมฮอร์โมนทดแทนส่วนใหญ่จึงประกอบด้วยเม็ดยา 2 สีในแผงเดียวกัน
 

      ถึงแม้จะมีลักษณะแผงยา และวิธีการรับประทานยาตามลูกศรคล้ายกัน แต่ฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ ไม่ใช่ฮอร์โมนธรรมชาติที่ร่างกายต้องการในช่วง Menopause และยังมีความแรงมากกว่าในฮอร์โมนทดแทนหลายสิบเท่า จึงไม่เหมาะที่จะในการนำมาใช้แทนกัน

   

      ฮอร์โมนชนิดที่มี 2 สี ในแผงเดียวกัน หมายความว่าสตรีจำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนทดแทน ชนิดที่มีโปรเจสโตเจนร่วมด้วย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะยังมีมดลูกอยู่จึงจำเป็นต้องปรับรอบระดูให้เป็นปกติ หรือมีประวัติเป็นเอนโดเมทริโอซิส


         
  29. ถ้ายังจำเป็นต้องคุมกำเนิด ในช่วงอายุที่ใกล้วัย Menopause ควรทำอย่างไร     30. เมื่อเข้าสู่วัย Menopause ความสนใจ ทางเพศจะหมดไปจริงหรือไม่
 

      ควรเลือกใช้ยาคุมกำเนิด ที่มีฮอร์โมนต่ำที่สุด เพื่อเลี่ยงอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ หรืออาจเลี่ยงมาใช้ห่วงฮอร์โมนขนาดต่ำสำหรับคุมกำเนิด หากไม่ได้มีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง การใช้ถุงยางอนามัยเป็นวิธีที่เหมาะสม

   

      ระดับฮอร์โมนที่ลดต่ำทำให้ความชุ่มชื่นของผนังช่องคลอดหมดไป จึงรู้สึกเจ็บแสบมากเวลามีเพศสัมพันธ์ เป็นผลให้ความสนใจทางเพศลดลง การใช้ฮอร์โมนทดแทนสามารถลดปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน

       
  31. เมื่อไรที่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง ระบบปัสสาวะ ช่องคลอด หัวใจ หรือ กระดูก ไม่ต้องการฮอร์โมนทดแทนอีกต่อไป     32. หากใช้ฮอร์โมนทดแทนควรไปพบแพทย์บ่อยแค่ไหน
 

      หากต้องการรักษาอาการ Menopause โดยทั่วไปใช้เวลาเพียง 2 - 3 ปี อาการเหล่านั้นควรจะหายไป แต่ตราบใดที่ร่างกายังขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนก็จะยังคงมีอาการ ผิวหนังแห้งย่น ปัสสาวะเล็ด ช่องคลอดแห้ง คันอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมีอาการที่มองไม่เห็น ได้แก่ เนื้อกระดูกเริ่มบางลง ระดับไขมันในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนำไปสู่ความเสี่ยงของกระดูกหัก และโรคหัวใจขาดเลือด จึงแนะนำให้ใช้ฮอร์โมนทดแทนอย่างต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 5 - 10 ปี

   

      ควรมาพบแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อตรวจเช็คร่างกาย ได้แก่ ตรวจภายใน ตรวจเต้านม ในบางคลินิคอาจมีการตรวจวัดระดับไขมันในกระแสเลือด และตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วย

         
  33. ถ้าสตรีเข้าวัย Menopause รับประทาน เฉพาะฮอร์โมนทดแทนจะมีโอกาสตั้งครรภ์ได้หรือไม่     34. ควรรับประทานฮอร์โมนทดแทน เวลาเดียวกันทุกวันหรือไม่
 
      เมื่อสตรีเริ่มเข้าสู่วัยหมดระดู โอกาสที่จะตั้งครรภ์จะน้อยกว่าสตรีวัยเจริญพันธุ์มาก อย่างไรก็ตามควรใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นร่วมด้วย เช่น ใช้ถุงยางอนามัย ในช่วงที่ใช้ฮอร์โมนทดแทน
 
   
      หากสามารถรับประทานในเวลาเดียวกัน หรือในช่วงเดียวกันได้ทุกวันก็จะเป็นผลดี เพราะระดับฮอร์โมนในกระแสเลือดจะสม่ำเสมอไม่สูงเกินไป หรือต่ำเกินกว่าระดับที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน
         
  35 ถ้ารับประทานฮอร์โมนทดแทน แล้วต้องทำงานที่ตากแดดบ่อย ๆ จะมีปัญหาหรือไม่     36 ข้อเสียของฮอร์โมนทดแทนคืออะไร
 
      จากที่เคยทราบว่าฮอร์โมนในยาคุมกำเนิดอาจทำให้สีผิวเปลี่ยนแปลงได้ แต่ฮอร์โมนทดแทนมีระดับของฮอร์โมนต่ำกว่าในยาคุมกำเนิดมาก อย่างไรก็ดีควรทาครีมกันแดด เมื่อต้องอยู่กลางแดดเป็น เวลานาน ๆ
   
      ในช่วง 2 - 3 เดือนแรก บางรายอาจพบอาการข้างเคียงซึ่งได้แก่ มีเลือดออกบ้างระหว่างรอบเดือน เวียนศีรษะคัดตึงเต้านมซึ่งจะค่อยลดน้อยลงในเวลาไม่กี่เดือน อย่างไรก็ตาม หากเทียบคุณประโยชน์ที่จะได้รับกับอาการ ข้างเคียงดังกล่าว พบว่าฮอร์โมนทดแทนยังให้ประโยชน์คุ้มค่าในการรักษาอาการในวัยหมดระดูทั่วไป รวมทั้งเพิ่มความมีน้ำมีนวลให้ผิวพรรณ ลดอาการช่องคลอดแห้งแล้วกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ อีกทั้งยังป้องกันโรคกระดูกพรุน และโรคหัวใจขาดเลือดด้วย
         
  37 ฮอร์โมนทดแทนทำให้น้ำหนักขึ้นหรือไม่     38 ฮอร์โมนทดแทนจะทำให้มีระดูต่อไปอีกหรือไม่ และนานเท่าใด
 

     ฮอร์โมนทดแทนไม่ได้เพิ่มการสะสมไขมันในร่างกาย แต่เพิ่มการสะสมน้ำใต้ผิวหนัง ทำให้ดูอวบอิ่มขึ้นหลังรับประทานฮอร์โมนทดแทน ในขณะเดียวกันบางคนอาจมีน้ำหนัก เพิ่มขึ้นบ้างราว 1 กิโลกรัม ซึ่งเกิดจากการสะสมของน้ำใต้ผิวหนัง

   
      ในสตรีที่เริ่มมีประจำเดือนไม่ปกติ แพทย์มักให้รับประทานฮอร์โมนทดแทนชนิดที่ปรับรอบระดูให้เข้าสู่ปกติ อย่างไรก็ตามระดูจะมาน้อยลงและหมดไปในที่สุด ส่วนจะใช้เวลานานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล (2 - 4 ปี)
         
  39 ขณะนี้ระดูเริ่มมาน้อยและขาดหาย จะเริ่มรับประทานฮอร์โมนทดแทน ได้เลยหรือไม่     40 ฮอร์โมนทดแทน นำมาใช้ปรับรอบเดือน ผิดปกติในวัยรุ่นได้หรือไม่
 

     หากได้รับการตรวจภายในและตรวจเต้านมประจำปีอยู่แล้ว สามารถเริ่มรับประทานฮอร์โมนทดแทนเพื่อรักษาอาการทั่วไปในวัยหมดระดู รวมทั้งผิวพรรณแห้งย่น ช่องคลอดแห้ง และกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ได้
     นอนจากนี้ยังพบว่า 5 ปี แรก ที่สตรีหมดประจำเดือน เป็นช่วงที่เนื้อกระดูกมีการสลายตัวมากที่สุด และยังพบว่า 70 % ของสตรี วัยนี้มีระดับไขมันในกระแสเลือดสูงเกินมาตราฐาน การรับประทานฮอร์โมนทดแทน แต่เนิ่น ๆ จะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และ โรคหัวใจขาดเลือดได้

   

      ฮอร์โมนทดแทนชนิดที่ให้ประสิทธิภาพในการควบคุมรอบประจำเดือนได้ดี ในสตรีที่ใกล้หมดประจำเดือน จะสามารถนำมาใช้ปรับรอบประจำเดือนที่ผิดปกติในวัยรุ่นได้

       
  41 สตรีที่เคยเป็นโรคเยื่อบุโพรงมดลูกอยู่ผิดที่ (Endometriosis) หากมีอาการ Menopasu ใช้ฮอร์โมนทดแทนได้หรือไม่     42 เป็นเบาหวานใช้ฮอร์โมนทดแทนได้หรือไม่
       เมื่อเข้าสู่วัย Menopause อาการของโรคนี้มักจะหายไป แต่หากจำเป็นต้องใช้ฮอร์โมนทดแทน ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ซึ่งแพทย์มักเลือกให้ฮอร์โมน ทดแทนที่มีส่วนผสมของโปรเจสเตอโรนร่วมด้วย หรือเลี่ยงมาใช้ฮอร์โมนขนาดต่ำ    
ฮอร์โมนทดแทนหลายชนิดในปัจจุบันเป็นฮอร์โมนธรรมชาติ ไม่มีผลกระทบต่อสตรีที่เป็นเบาหวานชนิดไม่รุนแรง
         
  43 มีความดันสูง ใช้ฮอร์โมนทดแทนได้หรือไม่     44 สตรีบางคนกลัวว่าฮอร์โมนทดแทนจะทำให้เกิด มะเร็งเต้านม
 

      ฮอร์โมนทดแทนแบบรับประทานบางชนิด สามารถใช้ได้ในสตรีที่เป็นความดันสูงชนิดไม่รุนแรง ทางที่ดีควรเลี่ยงไปใช้ ฮอร์โมนทดแทนรูปแบบอื่นนอกเหนือจากการรับประทาน เช่นชนิดแผ่นใสปิดผิวหนัง

   
      ฮอร์โมนทดแทนอาจเป็นตัวกระตุ้นการเติบโตของเนื้องอก บางชนิดที่สัมพันธ์กับฮอร์โมนได้ แต่ไม่ควรใช้เป็นตัวก่อให้เกิด เนื้องอกจึงแนะนำให้ตรวจเต้านมก่อนใช้ฮอร์โมนทดแทน และตรวจเต้านมด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน
         
  45 สตรีที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม ควรใช้ฮอร์โมนทดแทนหรือไม่     46 ควรหมั่นตรวจเต้านมบ่อยเพียงใด
        จากการศึกษาพบ่าสตรีที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งเต้านม จะมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมได้มากกว่าสตรีปกติถึง 1 เท่าตัว หากมีปัญหาเกี่ยวกับอาการ Menopause และต้องการใช้ฮอร์โมนทดแทน ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์    
      ควรพบแพทย์เพื่อตรวจเต้านมเป็นประจำทุกปี และหมั่นตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำทุกเดือน
         
  47 ถ้ามีเนื้องอกที่เต้านมหรือมดลูกจะใช้ฮอร์โมน ทดแทน หรือไม่     48 เมื่อรู้สึกว่าอาการ Menopause ดีขึ้นมากแล้ว ควรใช้ฮอร์โมนทดแทนต่อไปนี้อีก นานเท่าไร
        หากได้รับการตรวจแล้วว่าเนื้องอกนั้นสัมพันธ์กับฮอร์โมนไม่ควรใช้ฮอร์โมนทดแทน    

     การใช้ฮอร์โมนทดแทนอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 - 5 ปี ได้รับการยืนยันแล้วว่าสามารถป้องกันโรคบางอย่างที่เกิดในวัย สูงอายุได้ ทั้งนี้เนื่องจาก เอสโตรเจน สามารถควบคุมระดับ โคเลสเตอรอลในกระแสเลือก เอสโตรเจน สามารถควบคุมการ ขยายตัวของหลอดเลือดและ เอสโตรเจน สามารถป้องกันการสลายของแคลเซียมจากกระดูกได้ ดังนั้นจึงป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบหลอดเลือดและหัวใจ โรคกระดูกพรุน และล่าสุดยังมีรายงานว่า เอสโตรเจนสามารถชะลอการเกิดโรคสมองฝ่อหรืออัลไซเมอร์ได้อีกด้วย

         
  49 โรคกระดูกพรุนคืออะไร     50 ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน ในสตรีหลังหมดระดูคืออะไร
 

     เมื่อร่างกายสูญเสียเนื้อกระดูกมาก กระดูกจะบางลงจนกระทั่งพรุน ทำให้มีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่าย ในตำแหน่ง ข้อแขน สะโพกและสันหลัง ซึ่งจะนำไปสู่ความพิการและไม่สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติสุขได้ ตลอดจนต้อง เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาสูงสาเหตุสำคัญของโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดระดูเกิด เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจน ในร่างกายลดต่ำลง

   

     นอกจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว สาเหตุอื่นสำคัญได้แก่เชื้อชาติ พบว่าคนไทยรูปร่างเล็ก บาง มีโอกาสเกิด โรคกระดูกพรุนได้ง่ายเมื่อเทียบกับชาวตะวันตก อีกสาเหตุหนึ่งคือเรื่องของการขาดแคลเซียม สตรีที่ไม่นิยมดื่มนมมา โดยตลอดจะทำให้แคลเซียมสะสมในกระดูกน้อย เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุนได้ง่าย

       
  51 สตรีวัยหมดระดู จะทราบได้อย่างไรว่า เป็นโรคกระดูกพรุนหรือไม่     52 เมื่อไรจึงควรเริ่มใช้ฮอร์โมนทดแทน เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนหลังหมดระดู
 

     การตรวจร่างกายที่คลีนิค Menopause สูตินรีแพทย์ จะมีเครื่องเอกซเรย์ วัดความหนาแน่นของเนื้อกระดูก จะสามารถบกแนวโน้มของการเกิดโรคกระดูกพรุน และโอกาสเกิดกระดูกหักได้

   
      เมื่ออายุ 35 ปี ร่างกายเราจะมีเนื้อกระดูกมากที่สุด หลังจากนั้นการสร้างเนื้อกระดูกจะลดน้อยลง จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่วัย Menopause ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดน้อยลง ทำให้กระดูกเริ่มบางลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน แนะนำให้เริ่มรับประทานฮอร์โมนทดแทนตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยหมดระดู
         
  53 คนที่มีน้ำหนักน้อยละมีโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุน หลังหมดระดูมากกว่าปกติหรือไม่     54 ทำไมเมื่อเข้าวัย Menopause มักมีอาการโรคหัวใจ
 

     สตรีรูปร่างเล็ก บาง มักจะกระดูกเล็ก จึงทำให้น้ำหนักตัวน้อยตามไปด้วย คนกลุ่มนี้มีความเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนสูง

   

      ในสภาวะที่ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน จะทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น เมื่อไปสะสมตามผนังหลอดเลือดจะก่อให้เกิดการแข็งตัวของเส้นเลือด ทำให้เกิดความดันสูง นอกจากนี้ โคเลสเตอรอลอาจทำให้หลอดเลือดอุดตันได้ ถ้าเกิดกับเส้นเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจก็จะเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ทำให้เสียชีวิตในที่สุด

         
  55 ฮอร์โมนทดแทนป้องกันโรคหัวใจได้จริงหรือไม่     56 โรคสมองฝ่อหรืออัลไซเมอร์ เกี่นวข้องกับวัย Menopause อย่างไร
 

      เอสโตรเจนสามารถปกป้องผนังเส้นเลือดให้อยู่ในสภาพปกติ และทำให้ไขมันในเส้นเลือดมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี นั่นคือทำให้โคเลสเตอรอล ชนิด LDL (ผู้ร้าย) ลดลง และทำให้ และทำให้โคเลสเตอรอล ชนิด HDL (พระเอก) เพิ่มขึ้น จึงไม่ก่อให้เกิดหลอดเลือดอุดตัน

   
      โรคนี้ส่วนใหญ่พบในคนอายุ 65 ปีขึ้นไป แต่พบในสตรีมากกว่าเกือบ 3 เท่า คนผอมซึ่งมีระดับเอสโตรเจนต่กมีแนวโน้มจะเกิดโรคนี้มากกว่าคนอ้วนซึ่งเอสโตรเจนสูงกว่า ฮอร์โมนทดแทนช่วยชลอการเสื่อม ของเซลล์สมองให้ช้าลงได้
         
  57 ฮอร์โมนทดแทนชนิดแผ่นใสปิดผิวหนัง ให้ประสิทธิภาพต่างจากฮอร์โมนทดแทนชนิด รับประทานหรือไม่     58 ฮอร์โมนทดแทนชนิดแผ่นปิดผิวหนัง ดีกว่าชนิดรับประทานอย่างไร
 

     การให้ฮอร์โมนทดแทนทุกชนิด จุดประสงค์เพื่อชดเชยระดับ เอสโตรเจนที่จาดไป และไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนทดแทนชนิด รับประทานหรือแผ่นปิดผิวหนังจะให้ระดับ ฮอร์โมนแก่ร่างกายในปริมาณที่เท่ากัน จึงให้ผลในการรักษาอาการ Menopause ได้เหมือนกัน

   

      สตรีที่มีข้อจำกัดในการรับประทานยา มีปัญหาโรคตับ หรือมีอาการข้างเคียงบางอย่างจากการ ใช้ฮอร์โมนทดแทนชนิด รับประทาน เช่น ปวดศีรษะแบบไมเกรน คัดหน้าอกมาก คลื่นไส้ หรือระบบดูดซึมยาในกระเพาะอาหารไม่ดี อาจเลี่ยงมาใช้ฮอร์โมนทดแทนชนิดแผ่นปิดผิวหนังแทนได้

         
  59 ทำไมคนที่มีปัญหาโรคตับจึงควรเลี่ยงยา หรือฮอร์โมนชนิดรับประทาน     60 ฮอร์โมนทดแทนชนิดแผ่นมีวิธีการใช้ต่างจากชนิด รับประทานหรือไม่
 

      เมื่อรับประทานยา ยาส่วนใหญ่ต้องแตกตัวที่ตับก่อนเสมอ จึงสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ การเลือกใช้ยา ที่สามารถซึมผ่านผิวหนังได้ ยาจะเข้าสู่กระแสเลือดได้ทันทีโดยไม่ต้องผ่านตับ จึงเลี่ยงการเพิ่มภาระ การทำงานของ ตับได้ใน ระดับหนึ่ง

   
     ฮอร์โมนชนิดแผ่นสามารถให้เอสโตรเจแก่ร่างกายได้อย่างสม่ำเสมอ ภายในระยะเวลา 1 สัปดาห์ ในขณะที่ฮอร์โมนชนิดรับประทาน ต้องรับประทานทุกวันติดต่อกัน การเลือกใช้ฮอร์โมนทดแทนชนิดแผ่น จึงถือเป็นทางเลือกใหม่ที่สะดวกใช้ และเลี่ยงอาการข้างเคียงได้
         
TOP